editor232 Archive

ยุครุ่งเรืองของสมาคมมวยปล้ำจากนายทุนชื่อดังในยุค 90

ในปี 1990 นั้นนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันในวงการมวยปล้ำอันดุเดือดที่สุด หลังจากที่สมาคมอย่างดับเบิ้ลยูดับเบิ้ลยูเอฟได้ครองตลาดมาเป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งการมาของค่ายน้องใหม่ที่เป็นลูกผสมระหว่างมวยปล้ำต้นตำรับกับตัวละครแนวแฟนตาซีหรือหลุดจากโลกความเป็นจริง ทำให้สมาคมจากจอร์เจียกลายเป็นคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง ทั้งการมาของนักมวยปล้ำชื่อดังจากค่ายต่าง ๆ รวมทั้งเนื้อเรื่องที่ฉีกกฎจากเดิมและไม่มีใครคาดคิด จึงทำให้ดับเบิ้ลยูซีดับเบิ้ลยูกลายเป็นค่ายเบอร์หนึ่งของวงการในช่วงระยะหนึ่งเลยทีเดียว การมาของนักมวยปล้ำชื่อดัง จากการมีหัวหน้าทีมสร้างสรรค์เป็นชายที่ชื่อเอริค บิสชอฟฟ์นั่นเอง ค่ายดับเบิ้ลยูซีดับเบิ้ลยูจึงเริ่มมีทิศทางในการนำเสนอผลงานบนจอโทรทัศน์มากขึ้น โดยเฉพาะการนำนักมวยปล้ำที่มีชื่อเสียงเข้ามา โดยเริ่มต้นจากสติงและริค แฟลร์อดีตแชมป์โลกจากสมาคมเอ็นดับเบิ้ลยูเอ ก่อนที่จะมีตัวร้ายจากแดนญี่ปุ่นอย่างเวเดอร์เข้ามาเป็นคู่ต่อกรเป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งการมาของฮัลค์ โฮแกนอดีตพระเอกตลอดการของสมาคมคู่แข่งอย่างเวิล์ดเรสลิ่งเฟดเดอร์เรชั่นที่ได้ลาออกจากสมาคมในปี 1994 เพื่อหันเหตัวเองไปเป็นนักแสดง แต่ด้วยสัญญาจ้างระดับล้านเหรียญต่อปีนั่นเอง ทำให้โฮแกนยอมย้ายมาในที่สุด หลังจากการมาของโฮแกนนี้เองทำให้ค่ายเวิล์ดแชมป์เปี้ยนชิพเรสลิ่งนี้ได้พลิกโฉมหน้าของวงการและกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของค่ายเฟดเดอร์เรชั่นเนื่องจากพวกเขามีเงินสนับสนุนมากกว่า จึงพร้อมจะเซ็นสัญญานักมวยปล้ำอย่างมากมาย หลังจากที่โฮแกนเข้ามาสู่สมาคมแล้ว หลังจากนั้นไม่นานทั้งมาโชแมน

สตีฟ บรูซกับสถิติอันยอดแย่สำหรับโค้ชพรีเมียร์ลีก

หากพูดถึงกองหลังในตำนานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแล้ว ใครหลายคนคงมองย้อนไปถึงกองหลังในชุดที่ได้แชมป์เปี้ยนส์ลีกอย่างริโอ เฟอร์ดินานด์หรือยาป สตัมในชุด 1999 หรือยุคสามแชมป์อันยิ่งใหญ่ของปีศาจแดงนั่นเอง แต่ทว่าในช่วงเปลี่ยนผ่านจากดิวิชั่น 1 สู่พรีเมียร์ลีกนั้น ปราการหลังตัวกลางที่ยิ่งใหญ่ของทีมรวมทั้งได้เป็นกัปตันทีมในช่วงที่ตำนานอย่างไบรอัน ร็อบสันมีอาการบาดเจ็บ นั่นคือสตีฟ บรูซกองหลังชาวอังกฤษที่เป็นกองหลังจอมถล่มประตูคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก จนกระทั่งเจ้าตัวเลิกเล่นก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมก็มักจะมีสถิติที่ไม่น่าจดจำเสมอ แม้เขาจะเคยคุมทีมต่าง ๆ ถึง 11 สโมสรด้วยกัน แต่กลับไม่เคยสัมผัสแชมป์รายการใหญ่เลย การเป็นโค้ชในพรีเมียร์ลีก ในช่วงเวลากว่า 20 ปีของอาชีพผู้จัดการทีมนั้น สตีฟ บรูซเคยคุมเบอร์มิงแฮมเป็นทีมแรกที่เขาและทีมสีน้ำเงินได้กลับมาสู่พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาทำได้เพียงคุมทีมเล็ก

ช่วงเวลาที่ไร้คู่แข่งในกัลโช่ของอินเตอร์ มิลาน

ในช่วงปี 2006 นั้นถือว่ามีเรื่องฉาวที่ดังไปทั่วโลกของลีกกัลโช่ ซีรีย์อาจากอิตาลี เมื่อทีมยูเวนตุสมีส่วนพัวพันกับการล็อคผลบอลจนทำให้มีทีมฟุตบอลโดนลงโทษไปมากถึง 5 สโมสรและทีมแชมป์อย่างม้าลายนั้นต้องถูกปลดออกจากแชมป์ทั้งสองสมัยในปี 2005 และ 2006 สิ่งที่ตามมาก็คือการถูกปรับแต้มและปรับตกชั้นนั้น ทำให้ทีมที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างอินเตอร์ มิลานที่มีคุมกำลังน่ากลัวในขณะนั้นได้ก้าวขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่อยู่หลายปีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการคว้าสคูเด็ตโต้และการเป็นจ้าวยุโรปในสมัยการคุมทีมของโชเซ่ มูรินโญ่อดีตผู้จัดการของเชลซีและเอฟซี ปอร์โต้นั่นเอง ทีมเบอร์หนึ่งของอิตาลี แม้ว่าทีมงูใหญ่จะมียอดนักเตะในทุกตำแหน่งเริ่มจากผู้รักษาประตูชาวบราซิลอย่างฮูลิโอ เซซ่า กองหลังอย่างมาร์โก้ มาเตรัซซี่ กองกลางในตำนานอย่างหลุยส์ ฟิโก้และคู่กองหน้าทั้งอาเดรียโน่กับโอบาเฟมี่ มาร์ตินส์ แต่พวกเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งพอจะคว้าแชมป์แข่งกับยูเวนตุสได้ แต่ทว่าหลังจากเกิดเรื่องกัลโช่โปลีไปแล้ว การหายไปของยูเวนตุสที่ลงไปอยู่ลีกรองและการถูกตัดแต้มของเอซี มิลานทำให้เหลือเพียงอินเตอร์

โรนัลโด้ ยอดกองหน้าสุดแข็งแกร่งในเสื้อหมายเลข 9

ในช่วงที่เกมวินนิ่งกำลังเป็นที่นิยมในช่วงต้นยุค 2000 คงไม่มีเด็กคนไหนไม่รู้จักโรนัลโด้ กองหน้าตัวเก่งจากบราซิลที่สร้างชื่อในยุโรปทั้งบาร์เซโลน่าและอินเตอร์ มิลาน ก่อนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2002 แต่ทว่าหลังจากที่เขาใช้ทักษะและความแข็งแกร่งในสนามมากเกินไป จึงทำให้ร่างกายเริ่มรักษาสภาพไม่ไหวจนได้รับอาการบาดเจ็บหลายครั้ง และสุดท้ายจะเป็นชีวิตนอกสนามของเขาเองที่ทำให้ช่วงท้ายอาชีพของโรนัลโด้ กลับไม่น่าจดจำเสมือนช่วงรุ่งเรืองกับเจ้าบุญทุ่มเลยทีเดียว การมาสู่ยุโรปและยุครุ่งเรือง หลังจากที่เป็นดาวรุ่งให้แก่ครุยเซโร่ได้เพียงปีเดียวเท่านั้น โรนัลโด้ก็ได้ติดทีมชาติไปเล่นในฟุตบอลโลกปี 1994 ทันทีแม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงเล่นเลยก็ตามก่อนที่จะทำตามคำแนะนำของรุ่นพี่อย่างโรมาริโอ้ที่ให้เจ้าตัวย้ายมาเล่นกับพีเอสวี ไอโฮเฟ่นยักษ์ใหญ่ของลีกเนเธอร์แลนด์ ก่อนที่จะทำผลงานได้ดีด้วยการยิงถึง 30 ประตูในฤดูกาลแรกพร้อมแจ้งเกิดในวัย 17 ปีเท่านั้น หลังจากเล่นให้กับพีเอสวีไปได้ 2 ฤดูกาลและคว้าแชมป์ดัตช์คัพไปได้ ทางเซอร์บ็อบบี้ ร็อบสันผู้จัดการทีมบาร์เซโลน่าได้เห็นฟอร์มของกองหน้าชาวบราซิลคนนี้ จึงได้ซื้อตัวมายังคัมป์นูในราคาสถิติโลกในเวลานั้นที่

นักเตะที่แม้แต่มะเร็งยังทำอะไรไม่ได้อย่าง โฮนาส

ถือเป็นข่าวใหญ่ของแฟนบอลชาวอังกฤษทันทีในปี 2014 เมื่อโฮนาส กูเตียร์เรซได้ประกาศว่าเขาป่วยด้วยโรคมะเร็งอัณฑะในขณะที่ยังเป็นผู้เล่นให้กับนิวคาสเซิ่ลและนอริช ซิตี้จนเป็นที่น่าตกใจของแฟนสาลิกาดง ก่อนที่เขาจะรักษาตัวกลับมาได้ภายในปีเดียวและกลายเป็นฮีโร่ให้แก่ชาวจอร์ดี้ แม้ว่าจุดจบของเขากับสโมสรต้นสังกัดจะจบลงอย่างไม่เป็นที่ประทับของแฟน ๆ รวมทั้งการดูแลของสโมสรที่น่าผิดหวังตรงข้ามกับฟอร์มการเล่นของเขาที่นิวคาสเซิ่ลเลยทีเดียว สไปเดอร์แมนของทูนอาร์มี่ ปีกทีมชาติอาร์เจนติน่าได้ก้าวมาสู่รังเซนต์ เจมส์ พาร์คในปี 2008 หลังจากที่โชว์ผลงานได้ดีในลีกลาลีกาสเปนกับทีมรีล มาล์ยอร์กา ทันทีที่เขาได้เปิดตัวในเกมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้นเขาโชว์ฟอร์มได้ดีมากจนเป็นที่ชื่นชอบของแฟน ๆ และนักวิจารณ์ในเวลานั้นเลยทีเดียว ก่อนที่โฮนาสกับโฆเซ่ เอนริเก้จะกลายเป็นขุมกำลังหลักในฝั่งซ้ายของสาลิกาดงจนทำให้ทีมจากแดนอีสานสามารถจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 พร้อมกับไปได้เล่นฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่ทว่าเขาเริ่มมีอาการบาดเจ็บจากการมีเนื้องอกและต้องพักรักษาตัวหลังจบฤดูกาล 2013 ไป การดูแลที่น่าผิดหวังของนิวคาสเซิ่ล

จากนักเตะชั้นยอดสู่ผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จของซีดาน

คงจะหาได้ยากสำหรับสำหรับนักเตะที่ประสบความสำเร็จทั้งการเป็นนักเตะและอาชีพผู้จัดการทีม แต่ทว่ามีผู้เล่นอยู่จำนวนหนึ่งที่มีผลงานที่สุดยอดแบบนั้นไม่ว่าจะเป็นคาร์โล อันเชล็อตติตำนานของเอซี มิลาน เป็ป กวาดิโอลากองกลางเด็กปั้นของแคว้นคาตาลันของบาร์เซโลน่า และผู้จัดการคนล่าสุดที่สามารถทำได้นั่นคือซีนาดีน ซีดานนั่นเอง ที่เจ้าตัวมีผลงานที่ดีกับรีล มาดริดทั้งฐานะนักเตะและผู้จัดการทีมราชันย์ชุดขาวนั่นเอง นักฟุตบอลยอดอัจฉริยะ ซีนาดีน ซีดานเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับสโมสรคานส์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาลดความใจร้อนของตัวเอง พร้อมใช้พลังโกรธที่มีจากภูมิหลังเขาให้เป็นประโยชน์ในสนาม ก่อนจะพาทีมไต่อันดับไปเล่นฟุตบอลยุโรปได้สำเร็จในปี 1989 หลังจากนั้นไม่นานซีดานก็ได้ย้ายไปอยู่กับบอร์กโดซ์พร้อมพาทีมคว้าแชมป์อินเตอร์โตโต้คัพในปี 1995 จนเป็นที่จับตาของทีมต่าง ๆ ทั่วยุโรป ก่อนจะกลายเป็นทีมยูเวนตุสที่ได้นักเตะอัจฉริยะคนนี้ไปครองถึง ในปี 1995 จนเป็นที่จับตาของทีมต่าง ๆ ทั่วยุโรป ก่อนจะกลายเป็นทีมยูเวนตุสที่ได้นักเตะอัจริยะคนนี้ไปครองถึง

ไพล์ไดรเวอร์ ท่ามวยปล้ำสุดอันตรายที่ยุติอาชีพคนในวงการ

แม้ว่าวงการมวยปล้ำจะถูกคำครหาเสมอว่าเป็นกีฬาที่ไม่สมจริง มีเนื้อเรื่องราวประกอบจนถูกใช้คำว่ากีฬาของปลอมเสมอ แต่ทว่านักมวยปล้ำคงคาดหวังว่ามันจะไม่เจ็บตัวเช่นกัน เพราะความจริงแล้วนักมวยแต่ละคนต่างต้องผ่านการฝึกฝนไม่ต่างจากนักกีฬาประเภทอื่น ๆ รวมทั้งอาการบาดเจ็บที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในฐานะกีฬาต่อสู้ประเภทหนึ่งเช่นเดียวกับศิลปะป้องกันตัวหรือการชกมวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มวยปล้ำเป็นกีฬาที่ต้องมีการจับทุ่มหรือรับแรงกระแทกจึงทำให้นักมวยปล้ำต้องได้รับบาดเจ็บในที่สุด พูดถึงท่ามวยปล้ำที่ทำให้นักกีฬาได้รับบาดเจ็บเป็นอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นท่าไพรไดร์เวอร์ที่ส่งผลให้อาชีพของสโตนโคล สตีฟ ออสตินหรือแทซจากค่ายมวยปล้ำฮาร์ดคอร์ต้องจบลงก่อนวัยอันควร การรีไทร์จากอาการบาดเจ็บเรื้อรังของแทซ ในกลางยุค 90 นั้นที่ค่ายอีซีดับเบิ้ลยูกำลังเป็นที่นิยมสุดขีด ในช่วงนั้นเองที่มีนักมวยปล้ำจากนิวยอร์กได้เปิดตัวในปี 1993 ด้วยตัวละครชาวเผ่า ก่อนที่เขาจะได้รับอาการบาดเจ็บจากท่าสไปค์ไพรไดร์เวอร์จากแมตช์แทคทีมระหว่างเจ้าตัวกับดีน มาเลนโก้และทูคูล สกอร์เปียทำให้คอหักทันทีหลังจากที่เจ้าตัวเก็บคอไม่ทันจนหน้าผากต้องรับแรงกระแทกของน้ำหนักตัวทั้งหมด และเป็นเหตุให้เขาต้องพักการปล้ำยาวก่อนจะกลับมาก่อนสิ้นปี 1995 แม้ว่าแทซจะได้รับบาดเจ็บจนเกือบเลิกปล้ำก็ตาม แต่เมื่อเขากลับมาพร้อมกับบุคลิกใหม่ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของแฟน ๆ จนกระทั่งกลายเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวทของอีซีดับเบิ้ลยูหนึ่งสมัย และแชมป์โทรทัศน์ของสมาคมอีกหนึ่งสมัย

ตำนานนักสู้ห้าดาวของวงการมวยปล้ำญี่ปุ่น

ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งและร่างกายที่อดทนต่อการต่อสู้ทำให้ชื่อของมวยปล้ำญี่ปุ่นได้เป็นที่นิยมในประเทศอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อ 30 ปีมาแล้ว โดยเฉพาะมวยปล้ำหญิงที่มีดัมพ์ มัสซึโมโตะเป็นตัวชูโรงที่คนไทยรู้จักกันดี แต่ทว่าในสมาคมมวยปล้ำชายอย่างออลเจแปนโปรเรสลิ่งนั้น ถือเป็นยุคที่ให้กำเนิดสี่เสาหลักแห่งสวรรค์ที่ลือลั่นโดยมีโทชิอากิ คาวาดะ เคนตะ โคบาชิ อากิระ ทาอุอะและมิสึฮารุ มิซาว่านั่นเอง ซึ่งชื่อของมิซาว่านั้นถือเป็นหนึ่งในสุดยอดนักมวยปล้ำยอดเยี่ยมตลอดกาล เพราะผลงานการคว้าแชมป์และการให้เรตติ้งในแมตช์หรือเรียกกันว่าแมตช์ 5 ดาวมากที่สุดเหนือใครในประวัติศาสตร์นั่นเอง  อดีตแชมป์โลกทั้งสองสถาบัน หลังจากที่มิสึฮารุ มิซาว่าเริ่มสร้างชื่อเสียงในตัวละครที่ชื่อว่าไทเกอร์แมสหรือหน้ากากเสือที่คนไทยรู้จัก ก่อนที่กลับมาใช้ชื่อของตัวเองพร้อมคว้าแชมป์ทริปเปิ้ลคราวน์ได้เป็นสมัยแรกในปี 1992 ด้วยการเอาชนะคาวบอยจอมโหดอย่างสแตน แฮนเซ่นเจ้าของตำแหน่งเดิม ก่อนที่เจ้าตัวจะครองแชมป์นานกว่า 700  วันและไปเสียแชมป์ให้กับนักมวยปล้ำต่างชาติอีกคนอย่างสตีฟ วิลเลี่ยม

ท่าไม้ตายสุดเท่ตระกูลคัตเตอร์จากรุ่นสู่รุ่น

ในวงการมวยปล้ำที่นักสู้แต่ละคนต้องออกมาเล่นงานด้วยท่าจับทุ่ม ล็อคและเหินเวหาต่าง ๆ ภายในเวทีสี่เหลี่ยมนั้นทำให้นักมวยปล้ำมากมายต่างมีท่าไม้ตายของตัวเองเพื่อปิดบัญชีในแมตช์นั้นให้จบลงด้วยความรวดเร็วที่สุด แฟน ๆ หลายคนคงรู้จักท่าดัง ๆ อย่างร็อคบอททอมและศอกมหาชนของเดอะร็อค หรือจะเป็นทูนสโตน ไพไดร์เวอร์ของดิอันเดอเทคเกอร์และเคน สองพี่น้องแห่งการทำลายล้าง แต่มีท่ามวยปล้ำอยู่ท่าหนึ่งที่ถูกใช้มาตั้งแต่ยุค 80 จนกระทั่งปัจจุบันและยังคงเป็นท่าที่สวยงามโดนใจแฟนอยู่ตลอดมาที่ชื่อว่าคัตเตอร์หรือครัชเชอร์นั่นเอง เอซ ครัชเชอร์ผู้สร้างชื่อให้กับท่าหักคอ ช่วงปี 1986 เป็นช่วงที่จอห์น ลอร์ไรนาติสหรือจอห์นนี่ เอซได้ขึ้นปล้ำในสมาคมเนชั่นนัล เรสลิ่ง แอลไลแอนซ์ก่อนที่จะไปสร้างชื่อเสียงอย่างมากที่ประเทศญี่ปุ่นและได้ร่วมงานกับตำนานจากแดนอาทิตย์อุทัยอย่างเคนตะ โคบาชิและสตีฟ วิลเลี่ยม โดยสิ่งที่สร้างชื่อให้กับเขาก็คือท่าไม้ตายอย่างเอซ ครัชเชอร์นั่นเอง

มหากาพย์จาดอน ซานโช่ที่ปีศาจแดงต้องยอมแพ้ไป

ในยุคที่นักเตะชาวอังกฤษมักจะมีราคาสูงและแจ้งเกิดได้ยากนั้นทำให้นักฟุตบอลอย่างจาดอน ซานโช่ ได้ย้ายออกจากทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปสู่ทีมที่มีระบบเยาวชนที่ดีกว่าในลีกบุนเดสลีกาแทน ก่อนที่จะแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จนกระทั่งได้รับความสนใจจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่พยายามตามจีบเพื่อซื้อตัวนักเตะเข้าทีมอยู่นาน แต่ทว่าพวกเขากลับไม่ประสบความสำเร็จ และมีทีท่าว่าจะอดได้นักเตะทีมชาติอังกฤษคนนี้ไปไว้กับทีมภายในช่วงตลาดซื้อขาย 2020 อย่างแน่นอน ด้วยราคาของนักเตะและการดำเนินงานของทีมปีศาจแดงที่มักจะเชื่องช้าเสมอ การบริหารทีมอย่างเชื่องช้าในตลาดซื้อขาย ขี้นชื่อว่าเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแล้วมักจะมีประเด็นเรื่องการเจรจาซื้อขายนักเตะที่ยืดเยื้อเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของแฮร์รี่ แมกไกวร์ที่สโมสรต้องการตัวมาตั้งแต่สมัยโชเซ่ มูริณโญ่เป็นผู้จัดการทีม จนกระทั่งการมาของโอเล กุนนาร์ โซลชาที่สามารถคว้าตัวนักเตะทีมชาติอังกฤษมาได้ในราคาสูงถึง 80 ล้านปอนด์ในปี 2019 ซึ่งแพงขึ้นกว่าเดิมถึง 20 ล้านในช่วงของมูรินโญ่นั่นเอง